Powered By Blogger

หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวงานไทยเฟิน
























































เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้มีโอกาสไปเที่ยวงาน เฟินแห่งปี ชื่องานว่า " ไทเฟิน ชมเฟิน เพลินใจ ครั้งที่ 4 " จัดขึ้น ณ ศูนย์ไม้ดอกไม้ประดับ นนทบุรี (ซอยช้าง) ระหว่างวันที่ 5 - 7 มีนาคม 2553 ที่ผ่านมา
ผมไปเที่ยวมา 2 วัน วันแรกเป็นวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการจัดงาน เมื่อเข้าถึงงานก็ต้องตลึง ไม่นึกไม่ฝันว่า ชุมชนของคนรักเฟิน จะมีพลังขนาดนี้ บรรยากาศสมกับเป็นงานของต้นไม้ประเภทเฟิน มีเฟินและมอส ประดับเต็มไปหมด สวยงามสบายตา และรู้สึกตัวว่ามีความสุข ที่ได้มา มีบรรยากาศคล้ายเดินอยู่ในป่าร้อนชื้น เพราะมีการพ่นละอองน้ำเย็นสบาย ไม่รู้สึกร้อนแต่ประการใด นี่เป็นเคล็ดของการจัดงานที่เดินแล้วไม่เบื่อเพราะร้อน และเมื่อได้สัมผัสกับเจ้าของร้านค้า หรือเจ้าของเฟิน ก็ตอบรับทักทายด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส ยังไม่ซื้อก็ไม่ได้ว่าอะไร เดินชม เลือกดู ถ่ายภาพ เฟินแปลก พูดคุยซักถามกับผู้ที่มาร่วมแสดงผลงานการเลี้ยงดูเฟินของตัวเอง เขาก็พุดคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จนมีความรู้สึกว่า มางานแสดงนิทรรศการเฟินของบรรดาเหล่าสมาชิกมากกว่าครับ ที่บอกว่าเหมือนการจัดนิทรรศการ น่ะครับ ก็เพราะว่า การจัดนิทรรศการจะเป็นการแสดงความสำเร็จ และนำมาแสดงให้ทุกคนได้ชื่นชมกัน เพราะบางคูหา หรือที่เรียกว่าร้านนะแสดงผลงานการเลี้ยงดูเฟินเป็นอย่างดี สวยงามมาก แต่ไม่สนใจจำหน่าย ยืนคอยตั้งนานก็ไม่มีเจ้าของมาไต่ถามว่าต้องการอะไร ในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ตั้งแต่การลงทะเบียนเข้าชมงาน การสอยดาวเฟิน การประมูลเฟิน การประกวดเฟิน ฯลฯ ที่ขาดไม่ได้ก็คือจำหน่ายเฟิน ในราคาที่ไม่แพง ต่อรองได้เหมือนซื้อของทั่ว ๆ ไป วันแรกของการชมเฟินเพลินใจ ของผม เงินหมดกระเป๋า ต้องกลับไปค้นหาเศษเล็กเศษน้อยในรถมาซื้อเพิ่ม คิดว่าปีนี้พอแค่นี้แหละ

พอวันที่ 7 มีนาคม 2553 เป็นวันอาทิตย์ ภาพงานไทเฟิน ยังติดตาอยู่ จึงหาโอกาสในช่วงบ่าย โชคดี มาทันการประกวดเฟิน คิดไม่ผิดเลยครับที่มาอีก ในวันนี้ ภาพเฟินแปลก เฟินสวย หลากหลายชนิด ต่างลงสนามประกวดกันมากมาย บางชนิด มาวันแรก ไม่เห็น ก็เพิ่งมาเห็นวันนี้เอง ละลานตา ตื่นตาตื่นใจครับ คนไม่รักเฟินดูแล้วก็งั้น ๆ แต่สำหรับคนรักเฟินแล้ว มีความรู้สึกว่าไม่ธรรมดา ผู้มาชมงานมาจากต่างที่กัน ก็สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการดูแล การเพาะเลี้ยงเหมือนคุ้ยเคยกันมานาน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก นี่แหละครับเสน่ห์ของงานไทเฟินเขาละครับ ผมให้สัญญากับตัวเองแล้วว่าปีหน้าจะกลับมางานนี้อีก ติดใจครับ

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

พระพิฆเนศวร





เมื่อวันมาฆบูชา ปี 2553 นี่ ตรงกับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 เลยวันวาเลนไทน์ ผมและครอบครัว กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อทำบุญที่วัดใกล้บ้าน ที่สำคัญเพื่อพาลูกหลานไปกราบคุณย่า เป็นการปลูกฝังความรัก ความถูกพันในครอบครัว ขากลับ ตั้งใจไปกราบนมัสการหลวงพ่อโสธร เพราะเป็นทางผ่าน กลับทางสายอำเภอบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เป็นทางตัดมานานแล้ว และไม่ต้องอ้อมไปทางอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ระหว่างทาง เห็นป้ายปักข้างทางว่านมัสการพระพิฆเนศวร ริมแม่น้ำบางประกง ก็เลยให้บุตรชายที่เป็นพลขับ ขับรถตามป้ายบอกข้างทางไปเรื่อยๆ แบบสืบเสาะ หาเอาเอง สนุกดี ซึ่งมีคนนั่งข้าง ๆ คอยกระแนะกระแหนตลอดทางว่า ทำไมไกลจัง จะดีหรือเปล่าเนี่ย ร้อนแล้วนะ แดดส่องหน้าดำหมดแล้ว เสียงเหล่านี้สำเนียงเหมือนค่อนแคะตลอดเวลา เมื่อไปถึงวัดดังกล่าว ชื่อว่าสมานรัตนาราม (ใหม่ขุนสมาน) จ.ฉะเชิงเทรา ลักษณะภูมิประเทศของที่ตั้งวัดนี้ อยู่ตรงเกาะกลางแม่น้ำบางประกง มีสะพานข้ามถึงวัดทั้ง 2 ฝากฝั่งของเกาะ คือคือฝั่งซ้ายของวัดก็มีสะพาน ฝั่งขาวของวัด็มีสะพาน เข้าถึงวัดได้สะดวกสะบาย พอถึงวัดจอดรถเรียบร้อยก็ต้อง ก็ตลึงในความงาม ขององค์พระพิฆเนศวร ที่อยู่ในท่านอน สวยงามสง่ามาก ใหญ่โต สีชมพูสดใส ทุกคนที่ไปอดที่จะถ่ายรูปเสียมิได้ หากไม่มีกล้องก็ใช้โทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้ ถ่ายเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งได้มาที่นี่แล้วนะ
วัดสมานรัตนาราม (ใหม่ขุนสมาน) นี้ ตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม หน้าวัดติดแม่น้ำบางประกง ที่ใสมีสีเขียว เพราะน้ำเริ่มเค็มแล้ว เพราะอยู้ใกล้ปากแม่น้ำบางประกง น้ำทะเลขึ้นถึงครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจากวิกิพิเดีย พจนานุกรมเสรีที่เอื้อเพื้อตำนานและประวัติของพระพิฆเนศวร


ลักษณะของพระพิฆเนศวรและประวัติพระพิฆเนศวร จาก.wikipedia.org พจนานุกรมเสรี

มีรูปกายเป็นมนุษย์อ้วนเตี้ย ท้องพลุ้ย มีเศียรเป็นช้าง มีงาข้างเดียว (ถูกขวาน ปรศุรามหักเสียงา) สีกายสีแดง (บางแห่งว่าผิวเหลือง นุ่งห่มแดง) มีสี่กร พระหัตถ์หน้าขวาถืองาช้าง พระหัตถ์ซ้ายถือขันน้ำมนต์ เป็นกระโหลกศีรษะมนุษย์ พระหัตถ์หลังขวาถือ ตรี พระหัตถ์ซ้ายถือบาศ (บ่วง) พาหนะคือ หนู

ตำนาน

ในคราวที่พระศิวะเทพทรงไปบำเพ็ญสมาธิเป็นระยะเวลานานอยู่นั้น พระแม่ปารวตีเนื่องจากอยู่องค์เดียวเลยเกิดความเหงา และ ประสงค์ที่จะมีผู้มาคอยดูแลพระองค์และป้องกันคนภายนอก ที่จะเข้ามาก่อความ วุ่นวายในพระตำหนัก


ในจึงทรงเสกเด็กขึ้นมาเพื่อเป็นพระโอรสที่จะเป็นเพื่อนในยามที่องค์ศิวเทพ เสด็จออกไปตามพระกิจต่างๆมีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อพระนางทรงเข้าไปสรงในพระตำหนักด้านในนั้นองค์ศิวเทพได้ กลับมาและเมื่อ จะเข้าไปด้านในก็ถูกเด็กหนุ่มห้ามไม่ให้เข้า เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นใครและในลักษณะเดียวกันศิวเทพก็ไม่ทราบว่าเด็กหนุ่ม นั้นเป็นพระโอรสที่พระแม่ปารวตีได้เสกขึ้นมา

เมื่อพระองค์ถูกขัดใจก็ทรงพิโรธและตวาดให้เด็กหนุ่มนั้นหลีกทางให้ พลาง ถามว่ารู้ไหมว่ากำลังห้ามใครอยู่ ฝ่ายเด็กนั้นก็ตอบกลับว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเป็นใครเพราะตนกำลังทำตาม บัญชาของพระแม่ปารวตี และทั้งสองก็ได้ทำการต่อสู้กันอย่างรุนแรง จนเทพทั่วทั้งสวรรค์เกิดความวิตกในความหายนะที่จะตามมา และในที่สุดเด็กหนุ่มนั้นก็ถูกตรีศูลของมหาเทพจนสิ้นใจ และศีรษะก็ถูกตัดหายไป

ในขณะนั้นเองพระแม่ปารวตีเมื่อได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่วจักรวาล ก็ เสด็จออกมาด้านนอกและถึงกับสิ้นสติเมื่อเห็นร่างพระโอรสที่ปราศจากศีรษะ และเมื่อได้สติก็ทรงมีความโศกาอาดูร และตัดพ้อพระสวามีที่มีใจโหดเหี้ยมทำ ร้ายเด็กได้ลงคอ โดยเฉพาะเมื่อเด็กนั้นเป็นพระโอรสของพระนางเอง

เมื่อได้ยินพระนางตัดพ้อต่อว่าเช่นนั้นองค์มหาเทพก็ทรงตรัสว่าจะทำ ให้ เด็กนั้นกลับพื้นขึ้นมาใหม่แต่ก็เกิดปัญหา เนื่องจากหาศีรษะที่หายไปไม่ได้ และยิ่งใกล้เวลาเช้าแล้วต่างก็ยิ่ง กระวนกระวายใจเนื่องจากหากดวงอาทิตย์ขึ้น แล้วก็จะไม่สามารถชุบชีวิตให้เด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาได้เมื่อเห็น

เช่นนั้นพระศิวะเลยบัญชาให้เทพที่มาช่วยให้เอาศีรษะสิ่งที่มีชีวิต แรก ที่พบมาและปรากฏว่าเหล่าเทพได้นำเอาศีรษะช้างมาซึ่งพระศิวะทรงนำศีรษะมาต่อ ให้และชุบชีวิตให้ใหม่พร้อมยกย่อง ให้เป็นเทพที่สูงที่สุด และขนานนามว่า พระพิฆเนศวร ซึ่งแปลว่าเทพผู้ขจัดปัดเป่าอุปสรรคและยังทรงให้พรว่าในการประกอบ พิธีการต่างๆทั้งหมดนั้นจะต้องทำพิธีบูชาพระพิฆเนศวรก่อนเพื่อความสำเร็จของ พิธีนั้น

เนื่องจากพระพิฆเนศวรมีพระวรกายที่ไม่เหมือนเทพอื่นๆนั้น ได้มีการอธิบายถึงพระวรกายของพระองค์ท่านดังนี้

1. พระเศียรของท่านหมายถึงวิญญาณซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการมีชีวิต

2. พระวรกายแสดงถึงการที่เป็นมนุษย์ที่อยู่บนพื้นปฐพี

3. ศีรษะช้างแสดงถึงความเฉลียวฉลาด

4. เสียงดังที่เปล่งออกมาจากงวงหมายถึงคำว่า โอม ซึ่งเป็นเสียงแสดงถึงความเป็นสัจจะของสุริยจักรวาล

5. หระหัตถ์บนด้านขวาทรงเชือกบ่วงบาศน์ที่ทรงใช้ในการนำพามนุษย์ไปสู่เส้นทาง แห่งธรรมะและหลุดพ้นพร้อมทรงขจัดอุปสรรคในระหว่างทาง

6. พระหัตถ์บนซ้ายทรงเชือกขอสับที่ใช้ในการป้องกันและพันฝ่าความยากลำบาก

7. มือขวาล่างทรงงาที่หักครึ่งซึ่งพระองค์ทรงใช้เป็นปากกาในการเขียนมหากาพย์ มหาภารตะให้มหาฤษีเวทวยาสมุนีและเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเสียสละ


8. อีกมือทรงลูกประคำที่แสดงว่าการแสวงหาความรู้จะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา

9.ขนมโมณฑกะหรือขนมหวานลัดดูในงวงเป็นการชี้นำว่ามนุษย์จะต้องแสวง หาความ หวานชื่นในจิตวิญญาณของตนเองเพื่อที่จะได้มีจิตเอื้อเพื้อเผื่อแผ่ให้กับคน อื่นๆ

10. หูที่กว้างใหญ่เหมือนใบพัดหมายความว่าท่านพร้อมที่รับฟังสิ่งที่เราร้อง เรียนและเรียกหา

11. งูที่พันอยู่รอบท้องท่านแสดงถึงพลังที่มีอยู่โดยรอบ

12. หนูที่ทรงใช้เป็นพาหนะแสดงถึงความไม่ถือองค์และพร้อมที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่ง มีชีวิตที่เล็กและเป็นที่รังเกียจของมนุษย์ส่วนมาก

ผลที่ได้จากการบูชาพระพิฆเนศ